รู้ได้อย่างไร? ลูกค้าแบบไหนกระตุ้นยอดขาย (ต่อเนื่อง) แล้วได้ผลดีกว่า
เขียนโดย ยิ้มเก่ง
วันที่ 02.12.2022
คุณมีกี่วิธีที่คิดว่า...ทำแล้วแบรนด์จะอยู่ในความคิดของลูกค้าเสมอ?
ลองตั้งคำถามนี้ดูบ้างหรือไม่... ที่แน่ๆ ต้องมีการเขียนคอนเทนต์ ทำโฆษณา จ้าง Micro Influencers มากมาย และที่ขาดไม่ได้คือจัด Promotion และเข้าร่วมแคมเปญผ่านอีคอมเมิร์ซ แล้ววิธีไหนล่ะที่กระตุ้นยอดขายดีที่สุด
จริงที่ว่า “การได้อยู่ในสายตาของลูกค้า” จะช่วยเพิ่มโอกาสดึงดูดความสนใจของพวกเขาให้รู้จักและสนใจแบรนด์ได้ แต่นั่นอาจไม่พอกระตุ้นให้คนส่วนใหญ่ไปถึงจุดที่เราสามารถปิดการขายได้มากพอ
ความท้าทายจึงไปอยู่ที่ว่า “เราจะพุ่งเป้าไปหาลูกค้าที่มีโอกาสละทิ้งตะกร้าสินค้าน้อยที่สุดได้อย่างไร?”
ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราจะเล่าในบทความนี้ มาลองดูตัวอย่างข้างล่างนี้ไปพร้อมกัน
จริงหรือไม่ที่ว่า “วิธีปิดยอดขายที่ง่ายที่สุด คือ ปิดให้ถูกคนมากที่สุด?”
ใบ้ว่า... “วิธีปิดยอดขายที่ง่ายที่สุด คือ ปิดกับคนที่มีโอกาสซื้อมากที่สุด”
ลองดูภาพแล้วคิดตามดูว่า... ระหว่างกลุ่มลูกค้า A กับ B กลุ่มไหนมีโอกาสทิ้งตะกร้าสินค้าของคุณน้อยกว่ากัน
ถ้าตอนนี้คุณได้คำตอบเหมือนกันว่า คือ “กลุ่มลูกค้า A” หรือลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสูงที่สุด
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะรู้จักกลุ่มลูกค้า A?
ปัจจุบันเราจะเห็นเลยว่าหลายแบรนด์มีการทำคอนเทนต์ที่โดดเด่นหรือสุดโต่งต่างกันไป นั่นก็เพราะเขารู้จักฐานลูกค้าของตัวเองเป็นอย่างดีจากการเก็บข้อมูล รวมถึงความสามารถในการเปลี่ยนกลุ่มลูกค้า Walk-in ให้กลายเป็นสมาชิกของแบรนด์ได้ เพื่อที่แบรนด์จะสามารถเก็บและเข้าถึงประวัติการซื้อสินค้าของพวกเขาได้ (แบบผ่านการยินยอมอย่างถูกต้อง) จนนำไปสู่การติดตาม Customer Journey ของแต่ละคนอย่างใกล้ชิด ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้แบรนด์รู้จักฐานลูกค้าของตัวเองได้มากกว่าใคร ซึ่งต่อมาขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือการนำข้อมูลที่มีไป “กรอง (Filter)” เพื่อให้ได้ออกมาเป็นจำนวนกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะที่สุด หรือจนได้ออกมาเป็นกลุ่มลูกค้า A
สรุปได้ว่า “การเก็บข้อมูล+กรองข้อมูล = ได้กลุ่มคนที่มีโอกาสซื้อสูงที่สุด”
ก่อนอื่น คุณเคยลองวัดสถิติการบรอดแคสต์หรือทำโฆษณาแบบปัจจุบันดูบ้างหรือไม่ ว่ามีลูกค้าจำนวนกี่คนที่ให้ความสนใจ และกี่คนที่กด Hide ข้อความตั้งแต่ยังไม่ได้เปิด เนื่องจากมันไม่ได้ตรงกับความสนใจซื้อกับพวกเขา ณ ตอนนั้น แม้ว่าคุณจะพยายามเลือกสรร Header ฮอตฮิตมาโปรยแล้วก็ตาม มันก็ยังไม่สามารถทำให้ผู้ชมคลิกเข้ามาอ่านหรือไปตาม Journey ต่อไปที่คุณวางไว้ได้เลย
ในทางกลับกัน หลังจากนี้ถ้าคุณลองเปลี่ยนจากวิธีข้างต้นไปเป็น “การส่งข้อความหรือโปรโมชันไปหาลูกค้าเฉพาะกลุ่ม A” ฟังดูมีโอกาสที่จะปิดการขายได้มากกว่าใช่หรือไม่? ซึ่งการจะทำวิธีนี้ได้คุณต้องรู้จัก “Member-Filters Marketing” หรือ “การกรองลูกค้าให้เหลือน้อยแต่มีประโยชน์มากที่สุด”
*แบรนด์ที่มีระบบกลางในการเก็บฐานข้อมูลของตนเองเท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการต่อยอดธุรกิจหรือทำการตลาดอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลได้เร็วและยั่งยืนกว่าใคร
“Member-Filters Marketing”
คือการใช้ฟังชันก์ “Filter” ในระบบ CRM ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสซื้อสินค้ากับเรามากที่สุด เนื่องจากเขาเกิดความไว้วางใจกับแบรนด์แล้ว ไม่ว่าจะผ่านการซื้อมาหลายครั้ง หรือซื้อต่อครั้งเยอะขึ้น นั่นก็แปลว่าการทำคอนเทนต์หรือการส่งข้อเสนอส่วนตัวไปหาพวกเขา มีโอกาสสูงมากที่จะเกิดยอดขายได้ง่ายๆ
เพราะ Filter เท่านั้นที่บอกได้ว่า “ลูกค้าคนนี้แหละมีลุ้น”
สรุปสิ่งที่ Member-Filters Marketing มองหา
✓ Active Customers กลุ่มลูกค้าที่เพิ่งมีปฏิสัมพันธ์ล่าสุด
( Tip: แนะนำให้นับย้อนหลังไปไม่เกิน 30-90 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและบริการ จำนวนหรือปริมาณการซื้อครั้งล่าสุด เนื่องจากมีผลต่อระยะเวลาการกลับมาอุดหนุนในครั้งถัดไปโดยตรง)
( Tip: แนะนำให้นับย้อนหลังไปไม่เกิน 30-90 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและบริการ จำนวนหรือปริมาณการซื้อครั้งล่าสุด เนื่องจากมีผลต่อระยะเวลาการกลับมาอุดหนุนในครั้งถัดไปโดยตรง)
✓ Long Life-time Value Customers กลุ่มลูกค้าที่ซื้อมายาวนาน หรือปัจจุบันยังเลือกคุณ
( Tip: เน้นกลุ่มที่อยู่กับคุณมามากกว่า 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการดูแลลูกค้าของแบรนด์ เช่น เงื่อนไขด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความถี่ ระยะเวลาสะสม หรือวันหมดอายุของสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น)
( Tip: เน้นกลุ่มที่อยู่กับคุณมามากกว่า 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการดูแลลูกค้าของแบรนด์ เช่น เงื่อนไขด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความถี่ ระยะเวลาสะสม หรือวันหมดอายุของสิทธิประโยชน์ต่างๆ เป็นต้น)
✓ Repeat Purchaser กลุ่มลูกค้าที่ซื้อซ้ำบ่อยๆ หรือซื้อมากกว่า 2 ครั้งขึ้นไป
(Tip: ทางระบบ CRM by smileSME ของเรา จะแนะนำให้แบรนด์ติด Badge ในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อมากว่า 3-5 ครั้งขึ้นไป เพื่อทำการแบ่งระดับสิทธิของสมาชิกเหล่านี้ให้แตกต่างชัดเจนจากกลุ่มลูกค้าทั่วไป)
(Tip: ทางระบบ CRM by smileSME ของเรา จะแนะนำให้แบรนด์ติด Badge ในกลุ่มลูกค้าที่ซื้อมากว่า 3-5 ครั้งขึ้นไป เพื่อทำการแบ่งระดับสิทธิของสมาชิกเหล่านี้ให้แตกต่างชัดเจนจากกลุ่มลูกค้าทั่วไป)
ข้อดีของวิธี Member-Filters Marketing
✓ เห็นภาพ Potential Target Audiences ชัดเจนขึ้น
✓ ลดโอกาสเกิด Inactive Customer ได้ครอบคลุมขึ้น
✓ ลดต้นทุนและเวลาการทำโฆษณาแบบกว้างๆ ได้ดี
✓ เพิ่มโอกาสในการปิดการขายกับฐานลูกค้าประจำได้แบบยั่งยืน
วิธีทำ Member-Filters Marketing
(ตัวอย่าง: นี้สำหรับการใช้ในระบบ CRM ด้วย smileSME)
นี่ก็เป็นทริคเล็กๆ ส่วนหนึ่งจากระบบ CRM by smileSME ที่เราเชื่ออย่างมากว่ามันจะสร้างพลังมหาศาลให้กับธุรกิจของคุณได้อย่างแน่นอน แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแบรนด์ที่ใช้บริการระบบ CRM ของเราอยู่แล้ว หรือใครที่กำลังสนใจเครื่องมือดีๆ ไปซัพพอร์ตการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงใครที่สนใจฟังก์ชันนี้ที่จะช่วยให้ชีวิตการทำงานและธุรกิจง่ายขึ้น ก็สามารถคลิก ลงทะเบียน เพื่อให้ทีมสไมล์ของเราติดต่อกลับไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้โดยตรงค่ะ
Relate Blog
หา “กลุ่มเป้าหมาย” ให้เจอก็เป็นสุข
ระบบที่จะทำให้คุณรู้ใจลูกค้า สู่ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว!
CRM GOAL ฉบับ smileSME จำนวนคนเท่าเดิม แต่ประสิทธิภาพมากขึ้น
ธุรกิจที่รอดในยุค COVID-19 ต้องทำอย่างไร
CRM เพิ่มแต้มต่อให้ธุรกิจคุณ ก้าวนำคู่แข่งแบบถาวร!
CRM ดีต่อ Admin และการบริการลูกค้าอย่างไร?
เคล็ดลับการจัดงาน Event อย่างมืออาชีพด้วย CRM
รู้หรือไม่? ‘การแบ่งระดับสมาชิกของลูกค้า’ ดึงดูดใจได้นานกว่าส่วนลด
การใช้ CRM เจาะฐานลูกค้า