
ขายของแพงอย่างไรให้คนแย่งกันซื้อ!!
เขียนโดย ยิ้มเก่ง
วันที่ 7.10.2020
“ฉันจะขายสินค้าราคาแพงแข่งกับคู่แข่งที่ขายราคาถูกกว่า จะทำอย่างไรให้ขายได้แล้วขายดีด้วย?”
เชื่อว่าแทบทุกคนที่ทำธุรกิจต้องเคยตั้งคำถามนี้ แต่สิ่งที่แปลกคือมันกลับสวนทางกับเรื่องราวในปัจจุบันที่หลายคนกำลังผลักให้ร้านค้าของตนเองไปอยู่ใน ‘สงครามราคา’ หรือจะเป็นด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสที่มันบังคับให้ตกกระไดพลอยโจนก็เป็นได้
สงครามราคาคืออะไร? มันคือการขายสินค้าที่มีตัวแปรเป็น ราคาที่ถูกปรับลงอย่างหน่ำใจในเวลาสั้นๆ (ผลมาจากการแข่งกันของผู้ขายที่ต้องการแย่งชิงลูกค้ามาเป็นของตัวเอง) จนไม่สนว่าราคาสินค้าของตนจะต่ำลงไปเท่าไหร่
ถ้าเป็นเช่นนั้นเราทำธุรกิจไปทำไม เพื่อแค่ให้ได้มาซึ่งลูกค้าชั่วครั้งชั่วคราวงั้นเหรอ? แล้วคุณได้อะไรจากสิ่งนั้น คำว่าผลกำไรหรอลืมไปได้เลย… จริงอยู่ที่ว่าผลกำไรนั้นสำคัญพอๆกับการมีลูกค้า แต่หากคุณไม่มีกำไรจากการขายของเลย คุณจะสร้างความมั่นคงหรือพัฒนาธุรกิจคุณให้ไปต่อได้ในระยะยาวได้อย่างไร
หากสินค้าหรือร้านค้าของคุณยังคงเป็นหนึ่งที่ต้องการสภาพคล่องหรือ ‘ผลกำไร’ ในการทำธุรกิจและยังคงต้องการพัฒนาการขายทั้งก่อนและหลังให้ดียิ่งๆขึ้น เพื่อดึงดูดลูกค้าในระยะยาว คุณต้องทำการบ้านเหล่านี้
1 เล่าจุดเด่นของสินค้าให้ลูกค้ารู้
การจะขายสินค้าสักชิ้นคุณจะต้องทำการบ้านให้ดีๆว่า จุดเด่นของสินค้าที่เราจะขายคืออะไร มันมีอะไรบ้างที่แตกต่างจากของคู่แข่ง เช่น สินค้าชิ้นแรกในไทย ประโยชน์ หรือคุณสมบัติ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้หากเล่าออกไปจะช่วยเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้อย่างมาก เพราะจะทำให้ลูกค้ารู้สึกยินดีที่จะจ่ายแพงขึ้นอย่างเต็มใจ
2 เปลี่ยนวิธีคิดให้ถูกก่อนตั้งราคา
ขายขาดทุนไม่ได้แปลว่าเจ็บแต่จบ แต่มันคือ ‘เจ็บแล้วก็เจ็บ’ เพราะถ้าทุกร้านขายตัดราคากัน ต่างคนต่างปรับราคาลง ก็มีแต่จะพากันเสียหายทั้งหมด
ดังนั้นคุณต้องเปลี่ยนภาพในหัวเรื่องราคาสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายให้เป็นภาพเดียวกันก่อน เพราะถ้าคุณรู้จักการตั้งราคาตามคุณค่าของสินค้า (และไม่ลืมคิดถึงต้นทุน) สินค้ามันก็จะมีมูลค่าด้วยตัวของมันเอง มันจะถูกยกให้กลุ่มเป้าหมายเห็นว่ามันพิเศษกว่าร้านอื่นๆ ต่อให้คู่แข่งจะลดราคาอีกเท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหาของคุณอีกต่อไป
3 รูปแบบการขายต้องตอบสนองอารมณ์ลูกค้า
ทำอย่างไรก็ได้ให้ตอบโจทย์ลูกค้าถึงแม้จะมีคู่แข่งหน้าใหม่ที่ขายถูกกว่าคุณ ดังนั้นสิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือการมองข้ามตัวสินค้าไปก่อน และลองโฟกัสไปที่ Pain point หรือความต้องการของลูกค้าแทน อย่างเขาอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือถ้าเรานำเสนอสิ่งนี้จะทำให้เขาประทับใจยิ่งขึ้นซึ่งคุณควรจะทำทันที (ไม่เกี่ยวกับการลดราคาแข่งกับเจ้าอื่นๆ) เช่น การจัดส่งฟรี เป็นต้น
4 ใช้หัวใจบริการเพิ่มความประทับใจกับลูกค้า
สมมติว่า สินค้ามีความโดดเด่นเหมือนกัน ราคาเท่ากัน คุณภาพเดียวกัน อะไรที่จะยังทำให้คุณขายสินค้าได้แพงกว่าคู่แข่งอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ ‘ตัวคุณเอง’ ที่พูดจาดีจริงใจ อะไรดีไม่ดีบอก ไม่พยายามที่จะขายอย่างเดียว นั้นก็ถือเป็นหนึ่งคุณสมบัติที่ทำให้ลูกค้าเกิดความ ‘มั่นใจและไว้ใจคุณ’ ไปตลอด นอกจากขายแพงได้ก็จะเอาอะไรมาขายเพิ่มก็ยังขายได้
5 จัดหาสิทธิประโยชน์ให้ลูกค้า
ข้อนี้ทีเด็ดถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าจ่ายแพงแค่ไหนก็ยอม ยิ่งแพงยิ่งท้าทายเท่าไหร่ก็สู้ ซึ่งถือว่าเป็นข้อที่คุณต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะธุรกิจระดับโลกที่สามารถขายสินค้าได้มากมาอย่างยาวนานมักจะหยิบยืนสิทธิพิเศษนี้ให้แก่ลูกค้าเสมอ (ทันทีหลังจากการซื้อ) เช่น ส่วนลดพิเศษเฉพาะลูกค้าประจำ การประกันซ่อมฟรี 5 ปีเต็ม เป็นต้น
ดังนั้นการจะเป็นนักขายที่ยืนนิ่งๆก็ชนะทุกสังเวียน! ท่องไว้ว่า “คุณค่าต้องมาก่อนราคาเสมอ” ทักษะเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณรักษาผลกำไรได้อย่างดีเยี่ยม (จากการขายสินค้าราคาแพง) ไม่ว่าอนาคตคุณจะ cross-sell หรือ up-sell ลูกค้าก็ยืนยันจะซื้อสินค้าแค่จากคุณแน่นอน!
Relate Blog
ครอบคลุม สะดวก และไม่จำกัดพื้นที่กับ Payment ระบบเก็บข้อมูลการชำระเงินลูกค้า
ระบบที่จะทำให้คุณรู้ใจลูกค้า สู่ยอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว!
Calendar ที่จะทำให้คุณไม่พลาด ทุกโอกาสในการเพิ่มยอดขาย
CRM ดีต่องาน Sales และ Daily workflow ของทีมอย่างไร?
หา “กลุ่มเป้าหมาย” ให้เจอก็เป็นสุข
How to Keep Customer Loyal?
กลยุทธ์ Customer Retention ที่ควรทำให้สำเร็จในปี 2021 (2/3)
ข้อเท็จจริง "วัฒนธรรมองค์กร" (Company Culture) ทำไมถึงสำคัญ?
การใช้ CRM เจาะฐานลูกค้า