เจาะลึกเรื่องของ Data ที่แบรนด์ควรโฟกัสให้ถูก!
เขียนโดย ยิ้มเก่ง
วันที่ 07.05.2021
 
 
 
 
ว่าด้วยเรื่องของ Data ประเด็นที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมาก ในโลกออนไลน์และห้อง Clubhouse สำหรับการทำธุรกิจในยุคของ Data Driven หรือหลายแบรนด์อาจจะคุ้นๆกับคำว่าการทำ Personalized Marketing เพื่อให้แบรนด์รู้ใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น
 
ซึ่งก่อนที่นักการตลาดหรือแบรนด์จะนำ Data มาใช้กับธุรกิจให้เกิดประโยชน์ได้ คุณต้องรู้ก่อนว่า Data ที่คุณต้องการคือแบบไหน แล้วข้อมูลแบบไหนที่เหมาะนำมาต่อยอดกับธุรกิจของคุณ 
 
รวมไปถึงข้อมูลแบบไหนที่เรียกว่ามีคุณค่ากับแบรนด์จริงๆ เหมือนกับข้อมูลจาก CRM ข้อมูลที่ให้คุณเป็นเจ้าของเอง และสามารถใช้เพื่อ Contact Point ได้โดยตรงจาก Customer Insight Data อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพในการทำ Retargeting อย่างน่าทึ่ง 
 
ดังนั้นเรามาทำความรู้จัก Data ให้ถูกต้องก่อน เพราะการจะทำให้เกิดผลลัพธ์ตามที่คาดหวังต้องทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรกค่ะ
 
ปัจจุบัน Data จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 
 

 

- First Party Data ข้อมูลน้อยแต่มากคุณค่าต่อธุรกิจ

แบรนด์สามารถใช้ข้อมูลประเภทนี้ได้เต็มที่ไร้ข้อจำกัดเพราะแบรนด์จะเป็นเจ้าของข้อมูลเอง เพียงแต่วิธีการเก็บข้อมูลต้องมีการขอ Consent ลูกค้าตามหลักของ PDPA อย่างถูกต้องเท่านั้นเอง
 
Data ประเภทนี้จะเก็บจากลูกค้าหรือ Target โดยตรงตลอดเวลานั่นแปลว่า เชื่อถือได้แน่นอน ซึ่งส่วนมากจะนิยมเก็บผ่านระบบ CRM หรือระบบ Loyalty Program ต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็น First Party Data ของคุณทั้งสิ้น 
 
ซึ่งถามว่าข้อดีของข้อมูลประเภทนี้คืออะไร ข้อแรกที่ชัดเจนคือคุณสามารถนำ Data ประเภท Transactions มาสร้าง Customer Segmentation ที่เกิดประสิทธิภาพได้ เช่น ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นลูกค้าซื้อน้อยแต่ซื้อประจำ คุณก็สามารถที่จะทำแคมเปญ Retargeting ที่มี Context ได้ตรงกับพฤติกรรมของพวกเขา เพื่อกระตุ้นให้เขากลับมาซื้อซ้ำๆ หรือ ทำแคมเปญประเภท Friend refer friend ให้เขาชวนเพื่อนมาซื้อก็ทำได้เช่นกัน
 
คุณจะเห็นได้เลยว่า หากธุรกิจไหนมีข้อมูล First Party Data จะสามารถเล่นลูกเล่นได้เต็มที่และแม่นยำมากขึ้น (แต่ต้องเลือกวิธีเก็บข้อมูลมาให้ดีพอเช่นกัน) 
 
หากถามว่าอะไรคืออุปสรรค ก็คงจะหนีไม่พ้นประเด็นที่ว่า คุณสามารถเก็บข้อมูลมากได้มากน้อยเพียงใด และใช้เครื่องมืออะไรในการรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพ
 
ซึ่งปัจจุบันข้อมูลประเภทนี้จัดเป็น Long term Strategy ที่แบรนด์ควรโฟกัสอย่างจริงจรัง เพราะ Data กลุ่มนี้จะช่วยให้คุณสบายตัวจากปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการพึ่งพาข้อมูลจากคนอื่น
 
 

- Second Party Data ข้อมูลของคนอื่นที่คุณเข้าถึงได้ เพียงแต่ข้อมูลทั้งหมดเป็นของคนอื่นไม่ใช่ของคุณ

มักจะเกิดจากการตกลงแลกเปลี่ยน Data ระหว่างพาร์ทเนอร์ ซึ่งข้อดีของข้อมูลประเภทนี้จะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อคุณมี First Party Data ที่ดีมาประกอบกัน เช่น การใช้ข้อมูล First Party Data จากระบบ CRM ในการ Upsell และ Cross-sell แล้ว และใช้ Data Partner เข้ามาช่วย Mapping อาจจะช่วยให้คุณรู้ได้มากขึ้นว่า ลูกค้าของพวกเขากำลังสนใจเรื่องอะไร มีอะไร Overlap กันกับของเราบ้าง หรือบางทีอาจจะนำไปสู่การพัฒนาคิดค้นสินค้าใหม่ๆ 
 
แต่อุปสรรคของ Second Party Data อยู่ที่ความไว้วางใจในการให้ Asset เพื่อเข้าถึงข้อมูลระหว่างกัน และอีกข้อคือคุณจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้เต็มที่เหมือนกับ First Party Data นั่นอาจจะหมายถึงการที่คุณต้องไปลุ้นเรื่องของคุณภาพอีกทีว่าเอามาใช้จริงได้ขนาดไหน
 
 

-Third Party Data ข้อมูลจากหลายแหล่งที่มีจำนวนมหาศาล

แต่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะจะเป็นข้อมูลกว้างๆเท่านั้น ซึ่งส่วนมากจะมาจากตัวกลางต่างๆ อย่างข้อมูลของ Facebook ที่หลายคนน่าจะใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น ข้อมูล Demographic Interest Location หรืออาจจะมี Behavior ที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง เป็นต้น 
 
โดยข้อมูลประเภทนี้จะมีข้อเสียอยู่ที่ว่า จะถูกเก็บมาเรื่อยๆ จนอาจเป็นเพียงข้อมูลทางสถิติที่ไม่ได้มาจากกลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยเมื่อเทียบกับ Data ประเภทอื่นอาจจะมีคุณภาพและความแม่นยำในการทำการตลาดน้อยกว่านั่นเอง
 
แล้วยิ่งปัจจุบันที่ Apple ออกมาเปลี่ยนแปลงด้าน Privacy นั่นแปลว่า ข้อมูลบนโฆษณาของ Facebook ที่จัดเป็น Third-Party Data จะยิ่งขาดน้ำหนักเรื่องความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก 
 
 

สรุปแล้ว แบรนด์ควรใช้ Data ไหน?

 

จริงๆแล้วแบรนด์สามารถที่จะใช้ข้อมูลได้ทั้ง 3 ประเภทเพียงแต่ข้อมูลแต่ละประเภทมีวิธีใช้และศักยภาพที่แตกต่างกันออกไปตามจุดประสงค์หรือ Business Strategy 
 
ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต้องการรักษาฐานลูกค้าประจำ หรือต้องการให้ลูกค้าซื้อซ้ำมากขึ้น แน่นอนว่าต้องอาศัยข้อมูลประเภท First-Party Data มากที่สุด เพราะเป็นข้อมูลที่มีความแม่นยำและความน่าเชื่อถือมากที่สุด ด้วยข้อมูลประวัติการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละคนหรือข้อมูลปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าตลอดเวลาที่เขาเป็นลูกค้าของคุณอยู่ ซึ่งจะครอบคลุมและปลอดภัยมากที่สุดแบรนด์จะเลือกเก็บข้อมูลนี้บนระบบ CRM 
 
แต่หากแบรนด์ต้องการเพิ่มลูกค้าใหม่ หลายคนอาจจะคิดว่าให้ไปอาศัยข้อมูลประเภท Second Party Data และ Third-Party Data แต่ความเป็นจริงที่ว่า First-Party Data ก็สามารถที่จะหาลูกค้าใหม่จากฐานลูกค้าเก่าได้เช่นกัน
 
แล้วคุณรู้ข่าวแล้วใช่ไหมว่า? ปัจจุบันข้อมูลบนโฆษณาของ Facebook ที่จัดเป็น Third-Party Data จะทำให้การโฆษณาแม่นยำน้อยลงเนื่องด้วยความขัดแย้งด้านความเป็นส่วนตัวกับ Apple
 
จะเห็นได้เลยว่าเรื่องของ Data มันไม่มีหลักสูตรตายตัว แต่มันขึ้นอยู่กับการวาง Business Strategy และการให้ความสำคัญด้าน Marketing Strategy ตั้งแต่แรกมากกว่า อะไรคือเป้าหมายของการเก็บ Data และเครื่องมือไหนที่เหมาะสมสำหรับเก็บรวมรวมให้สามารถนำมาใช้ต่ออย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด 
 
โดยทั้งหมดนี้ย้ำว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นแบรนด์ องค์กร หรือพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ต้องไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญเรื่อง ความส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า (Personal Data ) ว่าคุณได้ขอ Consent มาอย่างถูกต้องแล้ว ตามหลักของ PDPA ที่จะมีผลตามกฎหมายนั่นเอง
 
 
Back
Share