ขายเพิ่มตอนไหนขายได้แน่นอน
เขียนโดย ยิ้มเก่ง
วันที่ 21.10.2020
"รับขนมจีบซาลาเปา เพิ่มอีกไหมคะ?"
"เพิ่มแค่ 5 บาทเองก็ได้แก้วใหญ่ สนใจไหมคะ?"
"ซื้อครบ 500 บาทได้ของแถมเพิ่มนะคะ?"
พอจะคุ้นๆหูกันบ้างไหม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความบังเอิญแต่อย่างใด แต่มันเป็นความตั้งใจของนักการตลาด (หรือที่เรียกว่า Relativity Trap) คือ ‘การขายสินค้าเพิ่ม’ ที่มักจะใช้หลักจิตวิทยาเล่นกับความรู้สึกของลูกค้านั่นเอง
คำพูดเหล่านี้คือ เวทย์มนตร์ที่ร่ายแล้วแนบเนียนมากที่สุด แล้วยังถือว่าเป็น ‘การล่อลวงที่ลูกค้าเต็มใจมากที่สุด’
วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้เงินเพิ่มขึ้นจากลูกค้ารายเดิม แถม!ลดต้นทุน แต่!เพิ่มโอกาสในการทำกำไรและจูงใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่านี้คือความลับที่ดูไม่ลับเอาสะเลย แต่…ยังมีนักการตลาด หรือนักขายบางคน ไม่รู้แนวทางเอาไปปรับใช้เพื่อเพิ่มยอดได้อย่างถูกวิธี ดังนั้นเราขออาสาสรุปให้คุณฟัง
1 ตอนที่ลูกค้ากำลังจะจ่ายเงิน (ทำได้ตั้งแต่ครั้งแรกของการซื้อ)
เชื่อว่าคุณน่าจะเคยได้ยินมาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะคนที่ซื้อ Starbucks MacDonald หรือ 7-11 ขณะที่คุณกำลังจะจ่ายตังค่ากาแฟ พวกเขาจะถามคุณทันทีว่า “รับขนมทานเพิ่มไหมคะ”… คุณรู้สึกอย่างไรกับประโยคนี้ แน่นอนว่าหลายคนซื้อ แล้วซื้อแบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนานอีกด้วย
ดังนั้นคุณสามารถที่จะใช้โอกาสตอนนี้ เสนอสินค้าหรือเสนอขายเพิ่มเติม (สิ่งที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับสินค้าหรือบริการนั้นๆ) เช่น แนะนำให้ซื้อประกันเพิ่ม หรือ อัพเกรด RAM ตัวแรงกว่าไหม เป็นต้น ซึ่งถ้าลูกค้าเขาไม่สนใจจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไรเพราะอย่างไรเขาก็ซื้อสินค้าเดิมหรือข้อตกลงเดิมอยู่แล้ว
2 ตอนที่รู้ลูกค้าคนเดิมซื้อสินค้าเดิม (ซื้ออย่างสม่ำเสมอ)
วิธีนี้อาจจะแตกต่างกับวิธีแรก เพราะวิธีนี้อาศัยการใช้ข้อมูลของลูกค้า (ประวัติการซื้อสินค้าของลูกค้า) เช่น คุณไปซื้อสินค้าแล้วมีการสะสมคะแนนจากยอดซื้อ หรือร่วมกิจกรรมต่างๆของแบรนด์นั้น หลังจากนั้นเขาจะส่งโปรโมชั่นสินค้านั้นๆ มาหาคุณ
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำหรือซื้ออะไรเพิ่มเติมจากสิ่งที่ไม่เคยซื้อก็ได้ จากการที่คุณค่อยๆ ส่งมอบข้อเสนอเพิ่มจำนวนขึ้นทีละนิด หรือให้ราคาพิเศษ นำไปสู่ยอดขายที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นนั่นเอง
3 ตอนที่ลูกค้าซื้อสินค้าไปหรือกำลังใช้สินค้าอยู่ (แต่ยังไม่ได้ซื้ออีกอย่าง)
วิธีนี้เหมาะสำหรับการขายสินค้าใหม่กับลูกค้ารายเดิมที่ต้องชื่นชอบสินค้าหรือบริการ (ที่เคยซื้อไป) ของคุณ ย้ำว่าเขาต้องมีความประทับใจในตัวสินค้านั้นก่อนนะ หลังจากนั้นมันจะง่ายมากในการที่คุณจะขายสินค้าใหม่ เพราะเขาได้มอบปัจจัยสำคัญให้คุณแล้วคือ ‘ความเชื่อใจ’ ที่มีต่อสินค้าคุณอยู่แล้วนั่นเอง
ตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้ใช้งาน Apple ที่ใช้ iPhone อยู่แล้ว คุณจะได้รับข้อเสนอที่เป็นโปรลดพิเศษของ iPad Pro กับ AirPods ที่ส่งมาให้คุณตลอด จนทำให้คุณรู้สึกได้ว่า ถ้าซื้อมาใช้คู่กันก็คงจะดีไหนๆ ก็ใช้ iOS อยู่แล้ว
ดังนั้นการขายสินค้ากับคนที่เป็นแฟนคลับของคุณอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่เขาจะซื้อโดยไร้ข้อคำถามและไม่ตั้งเงื่อนไขใดๆเกี่ยวกับแบรนด์มากมาย
4 ตอนที่คุณกำลังจะปล่อยสินค้าหรือบริการล่าสุด
ไม่ว่าจะเป็น New Product/ Collection นวัตกรรมหรือบริการใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกมา ถือเป็นโอกาสที่ดีมากที่จะนำไปเสนอกับกลุ่มลูกค้าต่างๆ เช่น ลูกค้าที่หายไปนาน ลูกค้าปัจจุบันที่ชื่นชอบแบรนด์ของคุณ และลูกค้าประจำ เป็นต้น
ซึ่งวิธีนี้เหมาะที่จะใช้ประกาศเรียกลูกค้าให้กลับมาสนใจแบรนด์ของคุณว่า สินค้าใหม่คืออะไรนะ!! นอกจากนั้นยังทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าฉันจะได้ใช้สินค้าที่ใหม่กว่าคนอื่น หรือจะได้รับบริการที่ดีขึ้นแน่นอน
ดังนั้นอย่าลืมติดต่อหาลูกค้าของคุณทันที จะส่งอีเมลแจ้งเตือน หรือโทรไปเล่าให้เขาฟังก็ได้ว่า สินค้าใหม่ของคุณมันว้าวอย่างไร!! เชื่อว่า แค่ช่วงเปิดพรียอดขายก็ทล่มทลายแน่นอน
ทิ้งท้ายไว้ว่า หากคุณประสบความสำเร็จในการพยายามที่จะขายอย่างต่อเนื่องหรือต่อยอดการขายจนได้แล้วนั้น อย่าลืมที่จะดูแลเอาใจลูกค้า เพราะ 91% ของลูกค้าที่ไม่ได้รับการดูแลหรือเอาใจใส่ พวกเขาจะไม่กลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากแบรนด์ มากกว่านั้นคือบอกเลิกการเป็นลูกค้าไปเลย ดังนั้นอย่าลืมที่จะเอาเทคนิคที่เราให้ไปปรับใช้ให้เข้ากับธุรกิจของคุณด้วยล่ะ
Relate Blog
CRM ฉบับ smileSME ก่อนจะ Setting Goal คุณเคยทำสิ่งนี้หรือยัง
Free Download! ฟอร์มเก็บข้อมูลฐานลูกค้าให้ง่ายขึ้น
สีถูกจริต ช่วย ‘สร้างแบรนด์’ และ ‘เพิ่มยอดขาย’
Surprise ลูกค้าอย่างไรให้ร้อง WOW!
ระบบ CRM ทำอะไรได้บ้าง? พร้อมเจาะลึก Case Studies ที่ธุรกิจไหนทำก็รุ่ง!
ยุคนี้ MarTech! ระบบดีต้องมี “User and Role”
5 Mega Trends ของธุรกิจ 2020-2021
Gamification อาวุธ(ลับ)ออนไลน์ ชนะใจทุกวัย!!!!
CRM Trend for 2021 ที่ไม่รู้ไม่ได้แล้ว!!!